nuffnang

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

8 วิธีบริหารสมองให้สดชื่น

กระตุ้นความคิดแจ่มใสระหว่างวัน

1. ประสานงานสมอง การเขียนเลข 8 ในอากาศด้วยมือทั้ง 2 ข้างๆ ละ 5 ครั้ง โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลขก่อน แล้วเขียนวนไปให้เป็นเลข 8 วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการอ่าน และการทำความเข้าใจดีขึ้นและทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานงานกัน


2. น้ำเปล่าหล่อเลี้ยงสมอง วาง ขวดน้ำไว้ใกล้ๆ โต๊ะของคุณเป็นประจำ และคอยจิบทีละน้อย วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายของคุณตื่นตัวตลอดเวลา และสมองก็จะเปิดว่าง สามารถรับสารหรือข้อมูลได้ดี เพราะน้ำจะช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท ถ้าเวลาที่รู้สึกเครียดเพราะขาดน้ำ จึงควรจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย


3. นวดจุดเชื่อมสมอง วางมือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้วางบนกระดูกหน้าอกบริเวณใต้ กระดูกไหปลาร้า และค่อยๆ นวดทั้ง 2 ตำแหน่งประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยลดความงงหรือสับสน กระตุ้นพลังงานและช่วยให้มีความคิดแจ่มใส


4. บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ ให้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่นพร้อมหายใจเข้า จากนั้นหายในออกและหันไปทางซ้ายจนสามารถมองไหล่ซ้ายของตัวเอง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ วางแขนซ้ายลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่ ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปตรงกลางและเลยไปด้านขวา จนกระทั่งสามารถมองข้ามไหล่ของคุณได้ ยืดไหล่ทั้ง 2 ข้างออก ก้มคางลงจรดหน้าอกพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณได้ผ่อนคลาย เปลี่ยนมาใช้มือขวาจับไหล่ซ้ายบ้างและทำซ้ำกันข้างละ 2 ครั้ง


วิธี นี้จะช่วยบริหาร กล้ามเนื้อตรงส่วนลำคอและไหล่ การได้ยิน, การฟัง และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานาน อีกด้วย


5. นวดใบหูกระตุ้นความเข้าใจ วิธีนี้ทำได้โดยการนั่งพักสบายๆ แตะปลายนิ้วทั้ง 2 ข้างที่ใบหู เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวดและคลี่รอยพับของใบหูทั้ง 2 ข้างออก ค่อยๆ เคลื่อนนิ้วลงมานวดบริเวณอื่นๆ ของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และทำให้ความเข้าใจดีขึ้น เพราะเป็นการคลายเส้นประสาทบริเวณใบหูที่เชื่อมสมอง


6. บริหารขา โดยการยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อยแล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้นของคุณจะอยู่ในแนวเดียวกับส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออก ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อยๆ กดส้นเท้าซ้ายให้วางลงบนพื้นพร้อมกับงอเข่าขวาเพิ่มขึ้น หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้าแล้วกลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง


เปลี่ยน จากขาข้างซ้ายเป็นข้างขวา โดยออกกำลังในท่านี้ทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกัน การบริหารท่านี้เหมาะสำหรับการปรับปรุงสมาธิ รวมทั้งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่องผ่อนคลายอีกด้วย



7. กดจุดคลายเครียด ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดลงบนหน้าผากทั้ง 2 ด้าน ประมาณกึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และตีนผม กดค้างไว้ประมาณ 3 - 10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความตึงเครียดและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง


8. บริหารสมองด้วยการเขียน เขียน เส้นขยุกขยิกด้วยมือทั้ง 2 ข้าง พร้อมๆ กัน ลายเส้นที่เขียนอาจจะดูเพี้ยนๆ แต่ได้ผลดีต่อระบบสมองเป็นอย่างดีทีเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการประสานงานของสมอง ด้วยการทำให้สมองทั้ง 2 ซีกทำงานพร้อมกัน และเพิ่มความชำนาญด้านการสะกดคำและคำนวณดีและรวดเร็วขึ้นอีก


ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ
สสส. และ วิชาการดอทคอม

แหล่งที่มา :

www.thaihealth.or.th

http://www.vcharkarn.com/varticle/39077

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สิ่งที่เจ้า หน้าที่ธนาคารไม่มีเวลาอธิบาย...แต่เรา จำเป็นต้องรู้

เทคนิคง่ายๆ ได้ดอกเบี้ย(ออมทรัพย์)มากกว่าที่คิด
ความจริง - บัญชีออมทรัพย์ จะมีดอกเบี้ยปันผลเข้ามา ๒ ครั้งต่อปี คือทุกสิ้นเดือนมิถุนายน และสิ้นเดือนธันวาคมของทุกปี
สิ่งที่ควรทำ - ทุกสิ้น เดือนมิถุนายน (30 มิ.ย.)และ สิ้นเดือนธันวาคม (31 ธ.ค.) จงอย่าเพิ่งถอนเงินออกมาใช้จนกว่าจะสิ้นวัน หรือถ้าให้ดีรอถอนเงินวันที่หนึ่งเดือนถัดไปดีกว่า
เพราะเงินที่เหลือค้างบัญชีในวัน นั้น จะทำให้คุณได้ดอกเบี้ย แตกต่างไปจากที่คุณคิด
ตัวอย่าง ณ 30 มิ.ย. เหลือเงินติดบัญชีแค่ 5 บาท ปรากฎว่าดอกเบี้ยปันผลได้แค่ 1 บาทกว่า
ขณะที่ บางคนมีเงินในบัญชี 6000 บาท ได้ดอกเบี้ยไป 50 กว่าบาท
ดังนั้นบางคนมีเงินในบัญชีหลักหมื่น หรือแสน ดอกเบี้ยวันนั้นก็แปรผันไปตามจำนวนเช่นกัน
เห ตุนี้เอง ผู้ใหญ่จึงมักสอนว่าเวลาเงินเดือนออกสิ้นเดือน อย่าเพิ่งกดออกมาใช้ ให้รอถอนวันที่หนึ่งเดือนถัดไป เพื่อจะได้ดอกเบี้ยธนาคารมากขึ้น เพราะดอกเบี้ยมาคิด ณ สิ้นเดือนนั่นเอง
โดยเฉพาะบัญชีออมทรัพย์ ต้องจำ 30 มิ.ย. และ 31 ธ.ค. ให้แม่นๆ

สาเหตุที่ตู้ เอทีเอ็ม กลืนบัตรเอทีเอ็ม หรือดูดเงินสดของคุณเข้าไปอีกครั้ง
ความเชื่อ - 1.1 ขณะที่ตู้เอทีเอ็ม เด้งบัตรคืนกลับมา เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ...งั้นรับโทรศัพท์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยหยิบบัตร
1.2 ขณะที่ตู้เอทีเอ็มเด้งเงินสดที่คุณ ต ้องการกดออกมา แต่คุณปวดท้องเบา ...งั้นแอบทำธุระข้างตู้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวค่อยหยิบเงิน
ความจริง - ตู้เอทีเอ็ม จะให้เวลารับเงิน หรือรับบัตรเอทีเอ็มคืน เพียง 15 - 20 วินาทีเท่านั้น ถ้าไม่รีบดึงเงิน หรือบัตรออกมา ทั้งสองอย่างจะถูกตู้ดูดกลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อความปลอดภัยของเงินและบัตร ดังนั้นกรณ ีที่คุณลืมจริงๆ คนที่ต่อคิวคุณก็จะหยิบไปไม ่ได้นั่นเอง
ทางแก้ - โทร.ติดต่อธนาคารที่คุณเปิดบัญชีไว้ทันทีเพื่ออายัดบัตร หรือเพื่อขอเงินคืน

ใช้บัตรเอทีเอ็ม ที่ตู้ของธนาคารอื่น แล้วโดนตู้นั้นกลืนบัตรเข้าไป
ความเชื่อ - แจ้งอายัดบัตรไว้ก่อน แล้วขอรับบัตรคืนภายหลังได้
ความจริง - ไม่ได้ ธนาคารทุกธนาคารไม่คืนบัตรเอทีเอ็มของต่างธนาคารให้ (ถึงจะอ้างว่าจะไม่ ใช่ความผิดของคุณเลยก็ตาม) ทั้งนี้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
กรณีที่อาจได้คืน คือ หากตู้เอทีเอ็มนั้นตั้งอยู่หน้าธนาคาร แล้วคุณโชคดีที่พบกับเจ้าหน้าที่มีใจ (คือทั้งใจดีและเข้า ใจ) ก็อาจให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษให้

ขอทำบัตรเอทีเอ็มใบใหม่ โดยไม่ได้บอกความประสงค์ว่าต้องการบัตรประเภทใด
ความเชื่อ - เดี๋ยวจนท.ธนาคารคง ถามเราเอง ว่าต้องการบัตรแบบไหน แล้วค่อยทำบัตรให้ตามที่เราต้องการ
ความจริง - จนท.ธนาคาร(อาจ)ไม่ถามแล้วเลือกบัตรที่มีค่าแรกเข้า/ค่าธรรมเนียมรายปีแพงที่สุดให้ เพราะถือว่าเป็นคุณค่าที่คุณคู่ควร
สิ่งที่ควรทำ - เอ่ยปากถามจนท.หรือศึกษาให้แน่ใจก่อนว่าคุณต้องการบัตรแบบใด ค่าแรกเข้า/รายปีเท่าไหร่ /เวลาถูก ตู้เอทีเอ็มกลืนเข้าไปขอรับคืนบัตรได้มั้ย

ค่าธรรมเนียมการถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารอื่น
ความเชื่อ - มีค่าธรรมเนียมเฉพาะ กดถอนเงินที่ตู้ธนาคารอื่น แต่ตรวจสอบยอดไม่มี ค่าธรรมเนียม
ความจริง - มี ทั้งสองกรณี คือ ในแต่ละรอบเดือน ทั้งการถอนเงินและสอบถามยอดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารอื่น ครั้งที่ 5 เป็นต้นไปคิดครั้งละ 5 บาท


บัตรเอทีเอ็มที่มีวงเงินคุ้มครองกรณีเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ
ความเชื่อ - สามารถใช้บัตรนี้ ติดต่อโรงพยาบาล กรณีเกิดอุบัติเหตุ เช่น มีดบาด น้ำร้อนลวก หกล้มได้
ความจริง - ไม่ได้ การรับเงินค่าชดเชยตามวงเงินคุ้มครอง ต้องเป็นกรณีตายด้วยอุบัติเหตุเท่านั้น หรือหากยังไม่ตายต้องพิการถาวร เช่นแขนขาด ขาขนาด ตาบอด...ถาวร
บางบริษัทประกันอาจมีเงื่อนไขระบุ ว่า คุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับมอเตอร์ไซค์ไม่ว่าจะซ้อนหรือขับขี่ด้วยซ้ำ จึงต้องตรวจสอบให้ดี

เจ้าของบัญชีนอนป่วย เซ็นชื่อไม่ได้ มอบอำนาจไม่ได้ จะถอนเงินได้หรือไม่ ถ้าไม่มีบัตรเอทีเอ็ม
ความเชื่อ - ธนาคารอาจอนุโลมให้แปะโป้งแทนการเซ็นชื่อได้ เพราะเห็นว่าป่วยอยู่
ความจริง - ไม่ได้ หากเปิดบัญชีด้วยการเซ็นชื่อ ตัวอย่างลายเซ็นที่สมุดบัญชีเป็นหลักฐานเดียวที่ธนาคารใช้ตรว จสอบตัวบุคคล ได้ การแปะโป้งจึงไม่สามารถอนเงินได้เพราะไม่มีตัวอย่างแปะโป้งให้ไว้กับธนาคาร กรณีที่เจ้าของบัญชีนอนป่วยไม่รู้เรื่องราว บุคคลอื่นจึงถอนเงินแทนไม่ได้ จนกว่าจะหายเป็นปกติหรือเสียชีวิต ญาติจึงนำหลักฐานติดต่อรับเงินได้ ได้แก่ 1)หนังสือแต่งตั้งผู้ จัดการมรดก (กทม.ติดต่อศาลแพ่ง ถ.รัชดา/ต่างจังหวัดติดต่อศาลประจำจังหวัด)2) ทะเบียนบ้าน 3) ใบมร ณบัตร 4) สมุดบัญชี

หากเผลอแจ้ง เลขที่บัญชี และเลขที่บัตรประชาชนให้กับมิจฉาชีพที่โทรมาหลอก
ความเชื่อ - รีบอายัดบัตรเอที เอ็ม และสมุดบัญชี เงินในบัญชีจะได้ปลอดภัย
ความจริง - ไม่จำเป็นต้องอายัด ถ้า..บัตรเอทีเอ็ม สมุดบัญชี และ บัตรประชาชนตัวจริงทั้งหมดยังอยู่กับตัวคุณเอง
มิจฉาชีพไม่สามารถถอนเงินจากบัญชี ได้อยู่แล้ว เพราะการถอนเงินที่ตู้ ต้องใช้บัตรเอทีเอ็ม
และการถอนเงินที่สาขา ต้องใช้บัตรประชาชนตัวจริง และสมุดบัญชีตัวจริง ติดต่อด้วยตนเองเท่านั้น
ปัญหาคือ ตามแผนของมิจฉาชีพเท่าที่พบคือ โทรเข้ามาอีกครั้ง เพื่อหลอกว่ามีเง ินโอนเข้าบัญชี ขอให้คุณไปตรวจสอบยอดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม
โดยมันจะคอยบอกวิธีขณะคุณทำรายการ ที่ตู้ ซึ่งมันหลอกว่าเป็นทางลัดในการตรวจสอบ แต่ความจริงเป็นการกดโอนเงินออกไปให้บัญชีมิจฉาชีพ เหยื่อหลงทำตามด้วยความไม่รู้ เพราะหน้าจอเป็นเมนูภาษาอังกฤษ
บางครั้งมันก็หลอก(อีก)ว่า ต้องโอนเงินออกมาที ่บัญชีเลขที่นี้ก่อน เพราะเงินในบัญชีเต็ม (คิดได้ไง?)เพื่อจะได้โอนเงิน เข้าไปในบัญชีเหยื่อได้ ซึ่งความจริง คือ หลังจากโอนเงินออกไปให้มันแล้วก็ไม่มีเงินโอนเข้ามาเลย
สิ่งที่ควรทำ - ต้องมีสติ เมื่อรับโทรศัพท์เสมอ เห็นว่าท่าไม่ดี กดวางสายทันที! (คุณลิขิตชีวิตได้ด้วยปลายนิ้ว)

การคิดดอกเบี้ยปรับ สินเชื่อกู้บ้าน (จ่ายช้าไปนิด ทำไมเบี้ยปรับ..บานกว่าที่คิด)
ความจริง - อัตราดอกเบี้ยปรับ คิดจาก เพดานดอกเบี้ย ลบ ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่ได้รับ
ซึ่งแต่ละธนาคารกำหนดเพดานดอกเบี้ย ไม่เท่ากัน บางธนาคาร 15% บางธนาคาร 19%
ดังนั้น ต้องรู้เพดานดอกเบี้ยของธนาคารนั้นก่อน แล้วนำ เพดานดอกเบี้ย ลบ ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่ได้รับ
สมมติ....ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ได้ คือ 4% แต่เพดานดอกเบี้ยของ ธนาคารนั้นๆ อยู่ที่ 19% เท่ากับว่าดอกเบี้ย ปรับ ตกวันละ 15% ต่อปีต่อวัน!!

ความบานปลายของดอกเบี้ยปรับ อยู่ตรงจุดนี้ คือ & nbsp;คิดจากยอดหนี้คงเหลือทั้งหมดที่กู้มา!!!!
นั่นคือ ถ้ากู้บ้านเป็นเงิน 3.3 ล้าน และเพิ่งผ่อนไป จนเหลือหนี้ที่ 3 ล้านบาท ธนาคารจะนำดอกเบี้ยปรับมาคำนวณจากยอดหนี้ตัวนี้ นั่นคือ (15% x 3,000,000)/365 = ดอกเบี้ยปรับ 1,233 บาทต่อวัน
แล้วนำยอดนี้ไปคิดดอกเบี้ยในทุกๆวัน ที่เลยกำหนดมานั่นเอง
ข้อควรระวังคือ ธนาคารอาจบอกคุณว่า สามารถชำระเลยกำหนดได้ 7 วัน ไม่คิดเบี้ยปรับ (ถือเป็น 7 วันทอง)
แต่คุณต้องนับให้เป็น คือ นับวันที่กำหนดชำระ ถือเป็นวันที่ 1 เลย แล้วนับต่อไปอีก 6 วัน ถ้าจ่ายทันภายในวันดังกล่าวนี้จะไม่ถูกปรับ
เช่น กำหนดชำระทุกสิ้นเดือน ระยะปลอดดอกเบี้ยปรับคือ ภายในช่วงวันที่ 31ถึง6 หรือ 30ถึง5
แต่ถ้าช้าไปเพียงวันเดียว ดอกเบี้ยปรับอาจ มโหฬาร เพราะธนาคารเริ่มปรับโดยนับย้อนตั้งแต่วันกำหนดชำระ เป็นวันแรกนั่นเลยทีเดียว
นี่คือสาเหตุว่าทำไม จ่ายเกินวันที่ปลอดดอกเบี้ยแค่วันเดียว แต่ ธนาคารกลับคิดดอกเบี้ย เป็น 8 วัน เพราะเวลาคิดดอกเบี้ย ถือว่าคิดตั้งแต่วันกำหนดชำระนั่นเอง

การคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต (เหลือยอดค้าง ชำระแค่นิด ..เบี้ยปรับกลับ บานกว่าที่คิด)
ความเชื่อ - คุณรูดไป 900,045 บาท ชำระไปแล้ว 900,000 บาท ขาดอีกเพียง 45 บาทค้างชำระไว้ คิดว่าเดี๋ยวค่อยจ่ายรอบหน้า ดอกเบี้ยคงไม่เยอะ
ความจริง - ธนาคารคิดเบี้ยปรับจากยอดที่คุณรูดไป (ไม่สนใจดูว่าเหลือ ยอดค้างชำระไว้เท่าไหร่) ดังนั้น ดอกเบี้ยปรับคิดจากยอด 900,045 บาท ไม่ใช่ยอดค้างชำระ

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เหตุการณ์สุดคลาสสิคของอาชีพโปรแกรมเมอร์ แบบขำขำ

☻ โปรเจ็คที่ได้รับมักจะดูเหมือนง่ายในตอนแรก แต่สับสนวุ่นวายในตอนสุดท้าย
☻ การให้โปรแกรมเมอร์ทำเอกสาร เปรียบเสมือนเอานาวิกโยธินสหรัฐไปประกวดนางสาวไทย
☻ ตอนเขียนโปรแกรมเอง Test เอง ไม่เจอ Bug แต่ตอนไป Test กับลูกค้าเสือกเจอ!!!
☻ ตอน Test กับลูกค...้าเหมือนจะไม่มีบั้กแล้ว พอเริ่มใช้งานระบบจริง :X... ดูเพิ่มเติม เสือกเจอ!!!
☻ พอโปรแกรมพังตอนใช้งานจริง โปรแกรมเมอร์มักเอ่ยว่า “ตอน Test ไม่เห็นเป็นเลย” แล้วก็จบด้วยการทำหน้างงๆ แสดงให้เห็นว่า ผมไม่รู้จริงๆนะเว้ย
☻ ประเมินเวลาของโปรเจ็ค 10 วัน ไม่ใช่การเขียนโปรแกรม 80 ชั่วโมงต่อคน แต่อาจะเป็น 100ชั่วโมงต่อคน หรือมากกว่านั้น
☻ Programmer เก่งกาจจะเป็น System Analyst ทำเอกสารได้ห่วยแตก
☻ Programmer ที่เก่งกาจมันพูดภาษาคนแล้วเข้าใจยาก
☻ System Analyst ที่ทำเอกสารได้เก่งกาจ มักจะเคยเป็น Programmer ที่เขียนโปรแกรมได้ห่วยแตกมาก่อน
☻ ลูกค้าไม่เคยให้ Requirement ครบ ลูกค้าคือพระเจ้า
☻ นอกจากลูกค้าแล้ว Google ก็เป็นพระเจ้าเหมือนกัน
☻ งาน Coding ไม่เคยเสร็จก่อนกำหนด
☻ ออกแบบระบบจนเสร็จ แล้วค่อยเขียนโปรแกรม เป็นแค่เรื่องในฝันเท่านั้น (สำหรับคนไทย)
☻ คนให้ Requirement จริงๆ มักจะไม่ค่อยอยากได้ระบบ IT หัวหน้ามันนั้นแหละ อยากได้
☻ บางที Bug ก็ไม่มีเหตุผล และไม่ต้องการคำจำกัดความ
☻ Bug ก็เหมือนความรัก มองไม่เห็น แต่รู้สึกถึงมันได้ ไม่มี OT มีแต่ O-Free
☻ Project ที่ โปรแกรมเมอร์ปั่นงานจะจนดึกดื่น มักจะมี Bug เยอะ ถึงเยอะมาก
☻ ลูกค้ามักจะขี้เกียจ Test โปรแกรมของมันเอง แต่พอใช้งานจริงแล้วเจอ Bug ชอบมางอแง
☻ เขียนโปรแกรมช้า ใช่ว่าจะไม่มี Bug เขียนโปรแกรมเทพ ใช่ว่าจะไม่มี Bug
☻ สรุปว่าเขียนยังไงโปรแกรมก็มี Bug
☻ การแก้ Code ของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตัวเองเป็นเรื่องที่น่าปวดกบาลมาก
☻ Code ยิ่งเทพเท่าไหร่ แก้ Bug ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
☻ และคนเขียน Code เทพ มักจะโดนสาปแช่งจาก Programmer ที่ต้องมาแก้งานมัน
☻ ถ้าโปรแกรมช้า เราจะโทษว่า Server ไม่ดี
☻ System Analyst ที่แก้ Design บ่อยๆ มักจะอ้างกับ Programmer ว่า “ก็ลูกค้ามันเปลี่ยน”
☻ System Analyst ที่เพิ่ม Requirement บ่อยๆ มักจะอ้างกับ Programmer ว่า “ก็ลูกค้ามันขอเพิ่ม”
☻ Programmer ที่ทำงานไม่ทัน มักจะอ้างว่าประเมินเวลามาน้อยเกินไป
☻ Requirement สามารถเปลี่ยน เพิ่ม ได้ตลอดเวลา แต่มันไม่มีทางลดลงแน่นอน
☻ การเล่น Internet ไร้สาระ คือการผ่อนคลาย
☻ การเล่น msn คือการผ่อนคลาย
☻ การเล่น social network เป็นการผ่อนคลาย
☻ ด่าลูกค้าเป็นความบันเทิง และผ่อนคลาย
☻ Internet มีทุกอย่างที่โปรแกรมเมอร์ต้องการ
☻ พิมพ์สัมผัสได้ เป็นผลจาการ Chat อันหนักหน่วง
☻ มีความเชื่อว่า ถ้าพิมพ์คีย์บอร์ดด้วยความรุนแรง จะดูเท่
☻ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า โปรแกรมเมอร์ทำได้ทุกอย่างที่เกียวกับ computer
☻ ดังนั้น โปรแกรมเมอร์เป็นที่พึ่งให้ เพื่อนๆ พ่อ แม่ พี่น้อง อากง อาม่า เวลามีปัญหากับเทคโนโลยีใหม่ๆ
☻ ไม่มีโปรแกรมเมอร์คนไหน กลับบ้านตรงเวลาตลอด
☻ ชีวิตจะบัดซบทุกครั้ง ที่ไฟดับ
☻ ตอน Present โปรแกรมให้ลูกค้าดู ต้องไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนทุกครั้ง
☻ เวลาขี้เกียจแก้งาน โปรแกรมเมอร์จะบอกว่า “Code ตรงนี้ผมไม่ได้เป็นคนเขียนครับ”
☻ เวลาโปรแกรมมีปัญหา ลูกค้ามักจะบอกว่า “ยังไม่ได้ไปทำอะไรมันเลยนะ อยู่ๆก็ใช้ไม่ได้”
☻ โปรแกรมเมอร์ว่างงาน มักง่วงตอนสายๆ หรือบ่ายๆ คาเฟอีนคือยาวิเศษ
☻ การนั่งหลับเวลาง่วงมักไม่ค่อยได้รับความยอมรับจากหัวหน้าปล.และอื่นๆอีกมากมาย

ที่มา: forward mail

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ออกกำลังกาย 3 นาที หน้าจอคอมพิวเตอร์

ออกกำลังกายหน้าจอ สำหรับคนใช้คอมฯ

ง่ายๆ เพียง 3 นาที กับท่าออกกำลังกายที่ช่วยผ่อนคลายอาการปวดเมื่อยจากการนั่งทำงานหน้่าคอมพิวเตอร์ อาทิ ปวดตา ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดข้อมือ ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะบรรเทาความเจ็บปวดได้แล้ว ยังช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้อีกด้วย ลองดูสิจ๊ะ

http://www.youtube.com/watch?v=k0HPo_nZyNc



ที่มา : http://www.doctor.or.th/node/9293

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ความเครียดกับการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

เห็น ชื่อเรื่องแล้วอย่าเพิ่งรู้สึกเครียดตามนะครับ เนื้อหาครั้งนี้อาจแตกต่างจากที่ผ่านมาพอสมควร เพราะทุกครั้งเป็นสิ่งที่พอจับต้องได้ และพอมองเห็นภาพได้ด้วยตา แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องความเครียด ที่นอกจากมองไม่เห็นแล้ว ยังอาจไม่รู้ตัวด้วยว่ามีอาการเครียดอยู่ด้วย และความเครียดที่ก่อเกิดขึ้นมานั้นยังสามารถทำให้เกิดอาการทางระบบกระดูกและ กล้ามเนื้อได้อีกด้วย

ความเครียดและภาวะอารมณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ความ เครียดเป็นภาวะทางจิตใจ ที่ส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย เป็นผลมาจากการตอบสนองของคนกับสิ่งที่อยู่รอบข้าง ที่บอกว่าเป็นภาวะจิตใจเพราะหากมีงานหนัก ที่หนักทางกาย เช่น ต้องแบกของหนัก หรือทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่มีความสนุกสนานกับการทำงานนั้นๆ ก็จะมีอาการตอบสนองในรูปแบบของความเมื่อยล้าเท่านั้น แต่ถ้างานนั้นถูกกำหนดว่าต้องให้เสร็จ มีสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียด เช่น ถูกตรวจสอบ ลูกป่วย หรือทะเลาะกับแฟนแม้งานที่ทำนั้นจะเบาทางกาย แต่ความเครียดที่เกิดขึ้นที่จิตใจ สามารถส่งผลต่อร่างกายทำให้ปวด เมื่อยและล้าง่ายกว่าที่ควรจะเป็น

ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรงที่เกิด ขึ้นกับผู้เขียนเอง ขณะนั้นสำเร็จการศึกษาใหม่ๆ ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก แต่ถูกเชิญให้เป็นวิทยากร หรือต้องนำเสนอผลงานในงานประชุมวิชาการต่างๆ ผู้เขียนจะรู้สึกตื่นเต้นมาก พูดแค่ครึ่งชั่วโมง ต้องเตรียมตัวเป็นวัน และรู้สึกว่าตัวเมื่อยล้าไปหมด พอพูดเสร็จกลับถึงบ้านรู้สึกล้ามาก ต้องพัก และหลับไปเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้อดหลับอดนอนแต่อย่างใด ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้มักเป็นทุกครั้งที่มีความเครียด แต่ปัจจุบันนี้ อาการลดลงไปมาก อันเนื่องจากมีประสบการณ์และความเคยชินมากขึ้นความเครียดจึงลดลงไป

อย่าง ไรก็ตาม หากปรับตัวไม่ได้ก็เชื่อว่าอาการเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นทางกายคงไม่หายไปแน่ๆ และคงจะพัฒนาไปมากกว่านั้น ซึ่งผู้เขียนมีประสบการณ์จากผู้ป่วย โดยผู้ป่วยรายนี้มาหาด้วยอาการปวดตึงคอ ปวดศีรษะ และกระบอกตา โดยมีอาการบ่อยมาก จากการตรวจร่างกายพบกล้ามเนื้อต้นคอตึงตัวมาก ซึ่งคาดเดาได้ว่าอาการปวดศีรษะและกระบอกตาน่าจะมีผลมาจากกล้ามเนื้อต้นคอที่ ตึงไปรัดเส้นประสาทและหลอดเลือด แต่เหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อตึงคออาจมาจากการทำงานหรือท่าทางการทำงาน

จาก การซักประวัติพบข้อมูลที่น่าตกใจอย่างหนึ่งคือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเกือบทุกครั้งเมื่อเห็นโต๊ะทำงานของ ผู้ป่วยและเมื่อผู้ป่วยถูกถามว่า ถ้าพูดถึงงานโดยไม่เห็นโต๊ะทำงานจะมีอาการปวดไหม ผู้ป่วยตอบว่าก็มีอาการเช่นเดียวกัน

ผู้ป่วยรายนี้มีอาชีพซ่อม อุปกรณ์สื่อสาร ทุกวันจะมีลูกค้ามาคอยเร่งงาน ทำให้เกิดอาการเครียด มีอาการปวดศีรษะ และเมื่อนานวันเข้าแม้แต่เห็นโต๊ะหรือพูดคุยถึงเรื่องงาน ก็จะมีอาการปวดศีรษะขึ้นได้ จะเห็นได้ว่าผู้ป่วยรายนี้มีอาการที่พัฒนาไปมาก

ผู้ป่วยลักษณะนี้หากไปพบแพทย์ นักกายภาพบำบัด หรือผู้ที่ทำการรักษา ผู้ป่วยอาจจะถูกมองว่ามีปัญหาทางจิต ทำให้ไม่เชื่อในสิ่งที่ผู้ป่วยพูด

หากพิจารณาจริงๆ แล้วพบว่าความเครียดเป็นผลของจิตใจที่ตอบสนองต่อร่างกายหรือจิตใจ ต่อสิ่งแวดล้อม ดังเช่นผู้ป่วยที่ซ่อมอุปกรณ์ ในเบื้องต้นการซ่อมและการที่มีคนมาคอยเร่งมีผลต่อร่างกายที่ต้องทำงานหนัก มากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีผลต่อจิตใจที่คอยวิตกกังวลว่าจะทำงานให้เสร็จทันหรือไม่ ทำให้เกิดความเครียดขึ้น ซึ่งมีผลย้อนไปสู่การทำงานของร่างกายมากขึ้น จึงปวดเมื่อยมากขึ้น จิตใจจึงมีการเรียนรู้ว่าหากต้องทำงานก็จะปวดเมื่อย และเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ก็มีการเรียนรู้ต่อไปว่า เมื่อเห็นโต๊ะก็ต้องทำงาน ทำให้ทุกครั้งที่เห็นโต๊ะก็มีอาการทางกายเกิดขึ้น

ภาวะอารมณ์กับความเครียด

ความ เครียดไม่ใช่ภาวะอารมณ์ แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากภาวะอารมณ์อีกทีหนึ่ง ภาวะอารมณ์ต่างๆ ที่เรามีอยู่สามารถเปลี่ยนเป็นความเครียดได้ทั้งนั้น เรามาลองดูภาวะอารมณ์ต่างๆ เป็นตัวอย่าง ว่ามีอะไรบ้าง

o ความโกรธ เช่น พ่อแม่โมโหลูก โกรธลูกที่ทำผิด คนที่เป็นพ่อแม่ก็อาจรู้สึกปวดเมื่อยได้เมื่อมีอาการโกรธมากๆl ความวิตกกังวล หากวิตกกังวลมากๆ ก็จะคิดวนไปวนมา เกิดความเครียดกล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้นเช่นกัน

o ความอยาก เมื่ออยากมากๆ ก็เกิดความเครียดที่อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มาเป็นของของเรา

o ความผิดหวัง เสียใจ เช่นเวลาอกหักก็มักจะเศร้าสร้อย ร่างกายและกล้ามเนื้อจะเปลี้ยถดถอยลง

o ความกลัว เมื่อรู้สึกกลัว เช่น กลัวผี กลัวความมืด กลัวคนปองร้าย ก็จะส่งผลต่อความเครียด กล้ามเนื้อก็เกร็งตัว

จะ เห็นได้ว่าภาวะที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลต่อความเครียดและการตอบสนองทางร่างกาย ได้ แต่การตอบสนองอาจแตกต่างกันไปแล้วแต่ภาวะอารมณ์ เช่น ความโกรธ ร่างกายจะตึง แน่น แต่ความผิดหวังร่างกายจะห่อเหี่ยว ซึ่งที่อธิบายมานี้ผู้เขียนสังเกตจากตัวเองและคนรอบข้าง ไม่ได้อ้างอิงจากตำราใดๆ

นอกจากนี้ ยังมีภาวะอารมณ์อื่นๆ อีก เช่น ความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต ความหลง ความรู้สึกผิด ความหยิ่งทะนงตัว ความรู้สึกบังคับควบคุม ภาวะอารมณ์เหล่านี้ จะสังเกตได้ยากว่ามีผลกระทบต่อร่างกาย ทั้งนี้ให้ลองพิจารณาและหมั่นสังเกตดูว่าภาวะอารมณ์ของเราเป็นอย่างไรและ ร่างกายของเราตอบสนองต่อภาวะอารมณ์นั้นอย่างไร เพราะทุกครั้งที่ร่างกายตอบสนองก็ถือว่ามีการทำงานของร่างกายเกิดขึ้น เช่นเมื่อวิตกกังวล 1 ครั้ง กล้ามเนื้อบ่าไหล่ก็จะตึงตัวขึ้น 1 ครั้ง

ดัง นั้นหากวิตกกังวลบ่อยๆ หรือคิดวนไปวนมาตลอดเวลา ก็เท่ากับว่ากล้ามเนื้อบ่าและไหล่ของเราทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถทำให้เกิดปัญหาของกล้ามเนื้อบ่าได้ในลักษณะเดียวกับผู้ที่ทำงาน ที่ต้องใช้กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ทั้งวันเช่นกัน จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าหลายๆ คนที่มีอาการทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อแล้วมารับการรักษาหรือการปรับ เปลี่ยนการทำงานให้เหมาะสมแล้ว ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ทั้งหมด เพราะตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดปัญหานั้นมีมากมาย เมื่อรักษาแล้วกลับไปเผชิญกับสิ่งที่กระตุ้นเดิมๆ ทำให้เจ็บป่วยกลับมาอีก และหากว่าตัวกระตุ้นนั้นเป็นความเครียดที่เกิดจากภาวะทางอารมณ์ ก็จะเป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้อื่นรักษาให้

การขจัดความเครียด

หลายๆ คนอาจได้ยินผู้ที่รักษาว่า โรคนี้เกิดจากความเครียด เพราะฉะนั้นอย่าเครียด คำพูดว่าอย่าเครียดเป็นคำพูดที่ง่าย แต่ทำยาก
ผู้ เขียนเองไม่มีความเชี่ยวชาญทางนี้เช่นกัน ไม่สามารถให้วิธีการที่ดีได้ หากต้องการวิธีที่ดีที่ถูกต้องคงต้องปรึกษาจิตแพทย์ หรือพระที่สอนทางสมาธิวิปัสสนา แต่วิธีที่ผู้เขียนใช้อยู่และอาจจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยคือ ตัดสิ่งที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้มากที่สุด ทั้งภาระงานที่หนักเกินไป และสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ทำจิตใจให้แจ่มใสและออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตลอดจนหมั่นสังเกตภาวะอารมณ์ของตนเอง เช่น เมื่อรู้ว่ามีอารมณ์โกรธ ก็ระงับด้วยการดูภาวะอารมณ์นั้นเฉยๆ ถอยออกมาเป็นผู้ดูภาวะอารมณ์ ไม่ใช่ผู้ที่อยู่กับอารมณ์ ดังเช่นคนที่โกรธแล้ว ให้ระงับด้วยการนับ 1 ถึง 10เพราะเราอาจนับ 1 ถึง 10 โดยที่ยังกัดฟันโกรธอยู่ ยิ่งนับก็ยิ่งโกรธ แต่ถ้าถอยออกมาเป็นผู้ดู ก็จะมีความรู้สึกอีกแบบคือ อ้อ นี่หรือคือตัวโกรธ มันพุ่งพล่านอย่างนี้เอง เมื่อเรารู้จักอารมณ์ เราก็จะสามารถระงับมันได้ ด้วยการรู้เท่าทันอารมณ์ ดูอารมณ์นั้นเฉยๆ อย่างสบายๆ

หากผู้ใด รู้สึกว่ายังยากอยู่ ให้ใช้วิธีนี้คือ ลองสังเกตกล้ามเนื้อบ่าและไหล่ของเราดู ถ้าเมื่อไรกล้ามเนื้อบ่าและไหล่ยกแสดงว่าเราเครียดอยู่ก็ให้ผ่อนคลายกล้าม เนื้อลง ให้สังเกตบ่อยๆ และระงับการยกไหล่นั้นบ่อยๆ ก็อาจจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย


ข้อมูลสื่อ
File Name :335-016
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม :335
เดือน-ปี :03/2550
คอลัมน์ :คนกับงาน
นักเขียนหมอชาวบ้าน :ดร.คีรินท์ เมฆโหรา

อ้างอิงจากลิงค์ http://www.doctor.or.th/node/4077

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อีืกหน่อย เราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์


1. คนเรา อายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

อุแม่เจ้า.........
แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข

*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน

*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
*หนังอีก หลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู

ความรู้สึกในใจอีกมาก มายที่ยังไม่เคยบอก

พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยัง ไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่น กว่าวันที่เราได้รับมามัน
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบน พื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!

อุแม่เจ้าเทค 2

คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยก นาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมัน คือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลัง ทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่
เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืน วันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ......

คำนวณเองบ้างซิ ว้อยย.....

เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา
หัวตาก แอร์ไปวัน ๆ ยอม ให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงิน เดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน

เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ
รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า
และอีกหลายคนนิยม กิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสน ล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอม ตาย
แต่ให้รีบ ทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็น กอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล

....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพู พร้อมการ์ด
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อ กี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก

รีบ แยกย้ายไปใช้เวลาที่ เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ ทำ

เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่

โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

7 สิ่งที่ไม่ควรทำหลังมื้ออาหาร

1. ห้ามสูบบุหรี่ มีผลการทดสอบที่พิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า
การสูบบุหรี่หลังรับประทานอาหาร เทียบเท่ากับ การสูบบุหรี่ถึง 10 ม้วน
(โอกาสเป็นมะเร็งสูงกว่า)

2. ห้ามทานผลไม้ทันที การทานผลไม้ทันทีหลังอาหาร
จะทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นควร ทานผลไม้หลังทานอาหารไปแล้ว 1-2
ชั่วโมงหรือก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง

3. ห้ามดื่มชา เพราะมีผลทำให้การย่อยสารโปรตีนในอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นเป็นไปยากขึ้น

4. ห้ามคลายเข็มขัด เพราะการคลายเข็มขัดหลังมื้ออาหาร จะทำให้ลำไส้บิดตัวและอุดตันได้

5. ห้ามอาบน้ำ การอาบน้ำจะเพิ่มแรงดันเลือดไปสู่มือ แขนขาและทั่วตัว
ดังนั้น จำนวนเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหารจึงลดลง
ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารของกระเพาะเราแย่ลง

6. ห้ามเดินไปมา ผู้คนมักบอกเสมอว่า การเดิน 100 ก้าวหลังรับประทานอาหาร
จะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี ตามข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่เลย การเดินจะส่งผลให้
ระบบย่อยของเรา ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่เราทานเข้าสู่ร่างกายได้

7. ห้ามหลับทันที เพราะอาหารที่เราทานเข้าไป จะไม่สามารถย่อยได้เลย
ดังนั้นจะทำให้เกิดโรคเชื้อ และเกิดลมในกระเพาะและลำไส้ของเราได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://share.psu.ac.th/blog/healhty456/5690

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แนะนำอาหารล้างพิษ 20 ชนิด

1. กล้วย มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหารในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ทีจำเป็นแก่ร่างกายเช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลวหรือสารพิษส่วนเกิน ออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลวหรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูกทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

2. อัลมอนด์ เป็น ถั่วที่มีใยอาหารสูงมีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกายแม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออกไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่าไฮโปไกลซีเมีย ( Hypoglycemia ) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรงคิดอะไรไม่ออก

3. แอปเปิ้ล ประกอบไปด้วยเพกตินสูงเพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหารเช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมองนี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเปิ้ลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกายนอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสจากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิ้ลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็กและทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

4. ตำลึง ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อย ๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่า แกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบและมีหมูสับเต็มไปหมดซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้นนอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

5. อะโวคาโด อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักแต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน ( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตันทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิดและขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมี และโลหะหนักซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กินและมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

6. บีตรูต ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งประกอบไปด้วยไพโรเคมีคอล (Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิดซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรคทำความสะอาดเลือดทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลืองอีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้นจึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้นซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรดและด่างในเลือดให้สมดุลด้วย้

7. กะหล่ำ เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกายทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหารรักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆพืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลีและกะหล่ำปมผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อมเช่น ของเสียจากควันบุหรี่ควันจากท่อไอเสียและช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

8. บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่ง และถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรคเนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติซึ่งช่วยลดการระคายเคืองสารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

9. กระเทียม จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกายนั่นคือการกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหารและฆ่าเชื้อไวรัสโดยเฉพาะทำความสะอาดเลือด และทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิตนอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไปซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุตสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือดนอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อนสารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

11. มะเขือพวง คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภทผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิและน้ำพริกสมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วยใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้างแกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือและคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อนมะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

12. แครอท เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน (Alpha and Beta-carotene) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาทสายตา ผิวหนังที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำและจากการวิจัยพบว่าสารในแครอทช่วยลดการเกิดมะเร็งและช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น

13. ขึ้นฉ่าย ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิตสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำหรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้าเพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็งและสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

14. พืชตระกูลถั่ว เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วยพืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

15. ทับทิม ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้าง พิษลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายและลดอาการอักเสบสำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิมเพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูงซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

16. กระเจี๊ยบ น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปนหรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

17. เมล็ดแฟลกซ์ ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นอย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมองช่วยบำรุงความจำและมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น

18. มะนาว เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูงน้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้งก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

19. หัวหอม ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยทำความสะอาดเลือดช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจนอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

20. สาหร่าย เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกายในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกายก่อให้เกิดมะเร็งได้ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้นและสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วยนอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก


ขอขอบคุณข้อมูล จาก: http://www.teenpath.net/

ธรรมะกับการทำงาน ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ดีมากมาย...
อนุโมทนาบุญ ผู้ที่ฟอร์เวิร์ดมาให้ และผู้ที่จะฟอร์เวิร์ดต่อไป...สาธุ
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ
ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา!
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว ่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างในกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต ์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบ ด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสด งว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

When search engines fail

By: John Smith

Google, Yahoo, MSN, Ask.com we are all familiar what a search engine is and what it is supposed to do. Usually we type in a word or a phrase and the search engine returns websites that math those words or phrases. This works fine most generic things but if you are searching for something specific you are most likely going to have to spend a long time looking. What can we do when search engines fail?You can try meta-search engines such as dogpile.com, metacrawler.com, mamma.com and several others. Meta-search engines are basically a bunch of regular search engines rolled together into one webpage. Consequently you will pretty much find the same useless information, just more of it. As a result you will have to spend even more time looking at the results but in the end you might actually find something useful that one particular search engine might have missed.

A better choice might be to seek help from actual people instead of relying on some search algorithm. You will get the best results by finding a forum that focuses on the general area of interest to you. An excellent webpage to find forums is forumvirus.com. The forums are sorted in categories and ranked by popularity so you are for sure going to find one that fits you the best.

The best choice is probably a website that offers the features of a forum but where you can post questions without having to go through the registration process. You can post all your questions at helpmesearchfor.com. They have experts dedicated to several categories so you are for sure getting the right answers. If you choose to register, you can get email notifications of answers and participate in community activates. If you consider yourself an expert you can choose to answer questions and collect points for rewards. It is the best free question and answer system I have seen on the net so far.The internet is a vast collection of information at your finger tips; you just have to know the right way to extract what you are looking for. Use search engines, meta-search engines, forums or helpmesearchfor.com.

Article Source: http://www.superfeature.com
http://www.AdSenseThai.Net

7 Reasons to Take Travel Insurance

By: Evan Moss

If you are traveling abroad this year, it is worth spending some time looking at getting some travel insurance. The provision of cover in the case of disease or accident is extremely important in certain countries, and could save you on a fortune. As well as medical cover, travel insurance provides cover for numerous other events.

And travelling without the correct insurance this summer could leave you thousands of pounds out of pocket if you become ill or have an accident overseas.

Recent figures from the Foreign and Commonwealth Office estimate that half of people going on a short break are uninsured compared to 13% of those on longer duration trips. However, accidents can happen in the shortest space of time, and it is much better to be safe than sorry.
If you forget to take out travel insurance for your holiday you could be in line for some expensive bills if you were to fall prey to an accident.

The following shows some examples of typical medical costs:
Anywhere in the Med should you pick up Gastro-enteritis, you will be liable for: £400 - £600
• Two days in a general hospital ward in the Mediterranean would incur costs of: £600
• Broken leg in the USA, in total including all hospital bills and other expenses will cost: £10,000
• A scheduled flight in business class with a nurse escort from the west coast of the USA will set you back in the region of: £9,000 - £12,000
• An air ambulance back to the UK from the Balearics will cost you between: £10,000 - £12,000
• Costs for catching bronchitis requiring seven days' in-patient treatment in the Far East will be around £15,000
• Catching bronchitis and requiring seven days' in-patient treatment in the USA, will cost even more, at: £20,000

Even if travelling within the EU with a European Health Insurance card [which replaced the old E111 form] you may find that you have to pay a large percentage of the cost of treatments which you may have expected to be free. Remember also that the EHIC only provides this limited cover in EU countries, and not ht whole of Europe. The European Health Insurance Card is no substitute for travel insurance, but it is useful to have.

So no matter what length your holiday this summer, remember to take out travel insurance. It's far better to have it there just in case than take a potentially expensive gamble.

Article Source: http://www.superfeature.com
http://www.AdSenseThai.Net

15 วิธีแก้ "การเบื่อ" ก่อนปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังทำลายสุขภาพ

เริ่มต้นการทำงานกับเช้าวันจันทร์กันอีกแล้ว หลาย ๆ คนอาจยังไม่พร้อมสำหรับการลุกขึ้นสู้ในวันนี้ รวมถึงอาจมีอาการเบื่อหน่าย อยากนอนพักต่ออีกสักงีบ หรืออีกสักวัน แต่อย่าปล่อยให้ความเบื่อทำร้ายสุขภาพค่ะ เพราะมีการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญจาก University College London ระบุว่า การที่คนเราปล่อยให้ชีวิตน่าเบื่อหน่าย ไม่มีไฟในการทำสิ่งต่าง ๆ นั้นจะดึงคุณให้หันไปหาพฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพตัวเองได้ในที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด หรือมีปัญหาด้านพฤติกรรม - การเข้าสังคม ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณเสียชีวิตได้ตั้งแต่อายุยังน้อยอีกด้วย

ที่น่าแปลกใจก็คือ ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามที่ตอบโดยกลุ่มอาสาสมัครอายุระหว่าง 35 - 55 ปีจำนวน 7,000 คนในช่วงปี ค.ศ. 1985 - 1988 นั้นพบว่า กลุ่มผู้หญิงเป็นกลุ่มที่มีอาการเบื่อหน่ายในชีวิตสูงสุด

อย่างไรก็ดี มีแนวทางที่ช่วยลดอาการเบื่อลงได้ ซึ่งทางเว็บไซต์ zenhabits.net ได้รวบรวมเอาไว้ 15 ข้อดังนี้

1. หาความท้าทายใหม่ ๆ ให้ชีวิต หลายครั้งที่คนเราเกิดความรู้สึกเบื่อเป็นเพราะชีวิตไม่ได้พบกับความท้าทาย ใด ๆ เลย มีแต่งานรูทีนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คงจะดีหากคุณตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ให้กับของชีวิตให้ตัวเอง และพยายามพิชิตมันให้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อย ชีวิตคุณก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว

2. มองหางานใหม่ หากวิเคราะห์แล้วว่าสิ่งที่ทำให้คุณเบื่อก็คืองานที่ทำ คุณอาจจำเป็นต้องคิดถึงการโยกย้ายเอาไว้บ้าง ซึ่งคำแนะนำของทางเว็บไซต์ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องยื่นใบลาออกทันที แต่ให้ลองทำลิสต์รายชื่อของบริษัทที่น่าสนใจ-งานที่คุณคิดว่าจะไม่ทำให้คุณ เบื่อ อัปเดตประวัติการทำงาน และลองส่งออกไปก่อนดีกว่าออกมาเดินเตะฝุ่นเล่น ๆ

3. ตั้งเป้าหมายของชีวิต และจดออกมาเป็นข้อ ๆ ถึงสิ่งที่คุณต้องการจะทำให้สำเร็จให้ได้ก่อนที่คุณจะจากโลกนี้ไป ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับงานอย่างเดียว เป็นเรื่องของทัศนคติ มุมมอง หรือความต้องการใด ๆ ก็ได้ แต่หากเคยทำเอาไว้แล้ว ก็ลองหยิบมันขึ้นมาอ่านใหม่อีกสักครั้ง หรือเลือกเป้าหมายชีวิตสักข้อขึ้นมาทำให้สำเร็จในปีนี้

4. เคลียร์โต๊ะทำงาน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชีวิต และได้ย้ายของที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง หรืออาจใช้เวลานี้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ลองคิดหาวิธีที่จะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยลง

5. หางานอดิเรกที่ชื่นชอบมาทำ เช่น หาเวลาว่างอ่านหนังสือ เขียนบล็อก เล่นเกม เพื่อหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต แต่อย่าให้เบียดบังเวลางานจนกระทั่งถูกเพ่งเล็งจากคนรอบข้าง ควรใช้เวลาว่างก่อนหรือหลังเลิกงานทำงานอดิเรกเหล่านี้จะดีกว่า

6. สมัครคอร์สเรียนพิเศษหาความรู้ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นว่าต้องเรียนในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานเสมอไป อาจเป็นการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มในวันเสาร์ - อาทิตย์ เรียนทำอาหาร เรียนศิลปะ เรียนคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ได้ที่คุณสนใจ

7. ลาพักผ่อน เขียนใบลาพักร้อนสัก 1 - 2 วัน หนีความเบื่อหน่ายซ้ำซากในชีวิตก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้

8. เดินยืดเส้นยืดสาย

9. ดื่มน้ำเยอะ ๆ

10. โทรศัพท์ - เขียนจดหมายหาคนที่คุณรัก

11. จัดการไฟล์บนคอมพิวเตอร์ให้เป็นระเบียบ

12. เช็คเมลให้หมด หลายคนมีเมลค้างอยู่นับสิบนับร้อยฉบับ ไม่มีเวลาเช็ค ช่วงที่เบื่อ ๆ การเข้าไปเช็คเมลให้หมด ก็อาจได้ข้อมูล - แนวคิดดี ๆ จากเมลเหล่านั้นติดกลับมือออกมาบ้าง

13. วางแผนการเงิน หรือเปลี่ยนวิธีใช้เงินของตัวเอง จากที่เคยใช้หมดไม่เคยเหลือเก็บ ก็ลองมองหารูปแบบการเก็บเงินเหมาะ ๆ ให้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ต ในการช่วยบริหารจัดการรายได้ที่มีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้นได้ด้วย (อย่างไรก็ดี ควรระวังการป้อนข้อมูลบางชนิดลงไปด้วย เช่น เลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ เพราะหากมีการรั่วไหลของข้อมูลแล้ว อาจกลายเป็นความสูญเสียทางการเงินได้)

14. อยู่ห่างจากคนหรือสถานการณ์ที่ทำให้เบื่อ แม้ว่าในชีวิตจริง คนเราจะไม่สามารถหลีกหนีคน-สถานการณ์ที่น่าเบื่อไปได้ แต่การไม่นำสิ่งเหล่านั้นมาคิดต่อก็เป็นการสร้างปราการขึึ้นในจิตใจและช่วย ให้คุณมีแรงใจในการทำงานมากขึ้น

15. เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนอื่น เช่น ทำงานเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาล หรือช่วยเลี้ยงเด็กอ่อน ช่วยสอนหนังสือเด็ก ๆ เป็นต้น

ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
เจ้าของบทความ : zenhabits.net