nuffnang

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีน้ำในแก้ว


"น้ำเต็มแก้ว"
เป็นแก้วที่ไม่ยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ยึดติดกับเรื่องเดิม ๆ ไม่ยอมเปิดใจ เป็นคนที่พัฒนาได้ยาก แต่มีความมั่นคง

"น้ำครึ่งแก้ว"
เป็นแก้วที่พร้อมที่จะเติมทุก ๆ สิ่ง ยอมรับสิ่งใหม่ เป็นแก้วที่มองหาสิ่งใหม่ให้กับชีวิตเสมอ ยอมรับในการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะโยกย้ายน้ำที่มีอยู่ในแก้วไปเติมให้กับแก้วใบอื่นอยู่เสมอ

"แก้วเปล่า"
แก้ว ที่ไม่เคยรับสิ่งใดเข้ามาเลย ปล่อยให้แก้วขาดน้ำเหมือนกับคนบางคนที่ปล่อยให้ตัวเองเศร้ายึดติดไม่ยอมมอง หาสิ่งใหม่ ๆ ถ้าลองเทน้ำลงไปสิมีชีวิตชีวา สดใสขึ้นมาทันที

"แก้วร้าว"
คงไม่มีใครที่อยากเป็นแก้วร้าวหรอกใช่ไหม เพราะมีแต่ความเจ็บปวดรวดร้าว แล้วยังทำให้คนรอบข้างปวดร้าวไปด้วย ถ้าเผลอกำแน่นเกินไป แก้วอาจแตกได้อยากจะเป็นแก้วแบบไหนลองเลือกกันเอาเองนะ


พระราชดำรัสของในหลวงบอกว่า
"จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด"

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง

แสงสว่าง' ที่ว่านี้ คือ คุณค่าในชีวิต ที่แต่ละคนมี

แม้ว่าคุณค่านั้นจะเล็กน้อยนักในสายตาใคร หรือสังคมไม่ค่อยเห็นว่ามีคุณค่า
แต่จะมีสักกี่คนที่ค้นหาจนเจอคุณค่าในตัวเอง
แล้วให้คุณค่านั้นเป็นสิ่งนำทางชีวิตตนเองต่อไป
และจะมีสักกี่คนที่มีโอกาสถ่ายทอดคุณค่าเหล่านั้นออกมา
เพื่อกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น ให้เริ่มค้นหาคุณค่าในตัวเองได้ด้วย

การค้นหาและตระหนักถึงคุณค่าของตนเองเกี่ยวข้องกับการมองความเป็นจริงของชีวิต

ผู้ที่มองว่าชีวิตไร้คุณค่า
ก็จะพร่ำบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ตนเองไม่ได้มีความน่าสนใจอะไร
คิดเพียงว่าตนเองก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ
เชื่อว่าตัวเองไม่มีความคิดอะไรที่จะบอกกล่าว
ไม่ต้องถึงขั้นลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคมหรือโลก
แค่เชื่อว่าสักวันหนึ่งตัวเองต้องหมดอายุขัยและดับสลายไป
ให้ซึ้งในความจริงข้อนี้ก็ยังถือว่ายากเย็น

ส่วนผู้ที่มองว่าชีวิตมีคุณค่า ชีวิตก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำล้วนมีคุณค่าในตัวมันเอง
เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองทำ นั้นแยกไม่ออกกับสิ่งที่ตัวเองเป็น
เพราะทั้งสองเป็นสิ่งเดียวกันอันเกิดมาจากการค้นพบตัวเองและถ่ายเทออกมา

บางกรณี 'แสงสว่าง' เป็นเพียงสิ่งลวงตา
เพราะแสงสว่างที่เห็นอาจเป็นเพียงแสงไฟภายนอกที่ส่องมากระทบเท่านั้น
ไม่ใช่แสงสว่างจากภายใน
เปรียบได้กับความเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองกับการหลงในคุณค่าที่คนอื่นมองต่อตัวเอง
เป็นคู่ตรงข้ามของความเชื่อมั่นในตัวเองกับการหลงตัวเอง

ความเชื่อมั่นในตัวเองต่างกับการหลงตัวเองว่ามีของดี
เพราะการหลงตัวเองเหมือนกับการที่ดวงไฟทุกดวงส่องมาที่ตัวเอง
ทำให้ตัวเองดูสว่าง
ทุกสายตาจับจ้องมองเป็นตาเดียว แล้วหลงเชื่อใจว่าตัวเองมีแสงสว่าง
นั่นเป็นแสงสว่างจากภายนอก
ดูเหมือนตัวเองจะมีแสงสว่างแต่เป็นแสงสว่างจากภายนอก
ไม่ใช่แสงสว่างที่เกิดขึ้นจากภายใน
ดังนั้นชีวิตจึงต้องผูกเกี่ยวกับแสงสว่างภายนอกมากจนเชื่อว่านั่นคือแสงสว่างของตัวเอง
ตราบจนเมื่อใดแสงไฟจากภายในปิดลง ก็จะไม่อาจมองเห็นตัวเอง

ตรงข้ามกับความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นการสุกสว่างจากภายใน
และเปล่งแสงออกมาจากข้างในตัวตน
นั่นหมายความว่าคนๆนั้นต้องผ่านกระบวนการค้นหาตัวเองจนพบว่าตัวเองคือใคร
ทำอะไร เพื่ออะไร และมีคุณค่าอะไร
เมื่อค้นพบคุณค่าในตัวเองและคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำแล้ว
การบอกต่อและเล่าถึงคุณค่าของตัวเองสิ่งที่ตัวเองทำ
นั่นเปรียบเสมือนการขยายคุณค่าของชีวิตตัวเองให้แผ่ไปยังผู้อื่น

หากเราตระหนักว่า 'เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง' แล้ว
เราจะเริ่มค้นหาคุณค่าของชีวิตตัวเอง ตั้งคำถามกับชีวิต
เพื่อตอบตัวเองว่าคุณค่าของตัวเองคืออะไร
สิ่งที่ตัวเองทำมีคุณค่าอะไรต่อชีวิต ต่อคนรอบข้าง ต่อสังคม

หากเราตระหนักว่า 'เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง' แล้ว
กำลังใจ ความสุขและความเชื่อมั่นที่จะดำเนินชีวิตต่อไป
ย่อมเกิดขึ้นได้จากภายในตัวเอง
โดยไม่ต้องหวังพึ่งในวัตถุใดหรือใครมาเสกหรือส่งความสุขให้แก่เรา

หากเราตระหนักว่า 'เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง' แล้ว
เราจะมองเห็นคุณค่าของชีวิตทุกชีวิต
เราจะรู้ว่าคนทุกคนมีศักดิ์ศรีเช่นกัน
เราจะได้มีโอกาสนำคุณค่าของแต่ละคนมาแลกเปลี่ยนกัน
เพื่อก่อให้เกิดดวงตาแห่งความเอื้ออาทร

หากเราตระหนักว่า 'เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง'
เราจะได้พบความจริงของชีวิตเข้าสักวัน

หากสมมติว่าเราเป็นดั่งหิ่งห้อยตัวหนึ่ง
เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนโลกใบนี้ ที่มีแสงสว่างในตัวเอง
ลองจินตนาการว่าถ้าเราเป็นหิ่งห้อยจริงๆ
เมื่อเรามองโลกจากห้วงอวกาศเข้ามา
เราจะเห็นโลกใบนี้สว่างไสวไปด้วยแสงเล็กๆ จากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์
ถึงแม้จะริบหรี่ ๆ อยู่กันกระจัดกระจาย แต่ก็แลดูสวยงาม
เพราะเป็นแสงสว่างของชีวิตที่แต่ละคนช่วยกันเปล่งแสงออกมา

ที่มา  :  lovestoryclub.com

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

15 วิธีเอาชนะความขี้เกียจ

อย่าเกียจคร้านการทำงานนะพวกเรา 
งานหนักงานเบา เหนื่อยแล้วเรา พักผ่อนก็หาย 
ไม่ ทำงาน หลบหลีกงาน เฝ้าเกียจคร้าน เอาแต่สบาย
 แก่จนตาย ขอทำนายว่าไม่เจริญ


คำตัน ของคุณตัน


โดนใจมากๆๆ กับคำตัน ของคุณตัน

++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความเพ้อฝัน เป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยที่สุดของมนุษย์ 
ก่อนที่เราทำสำเร็จ คนส่วนใหญ่หาว่าเราบ้า 
แต่ถ้าเราทำสำเร็จแล้ว จะถูกเรียกว่าปาฎิหาริย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++

อย่าท้อถอยและยอมแพ้


วันนี้รู้สึกเหนื่อยและท้อมากมาย เลยต้องจัดยาให้ตัวเองขนานใหญ่ โดยหานิทานสอนใจมาอ่าน
เพื่อเป็นยันต์กันท้อนะคะ เลยอยากแบ่งปันเพื่อนๆ ที่กำลังท้อนะคะ


ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ 1 ตัวซึ่งแก่มากแล้ว
วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก
ด้วยความโง่เขลาของมัน ดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง
มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา
ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา
ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้ว
อีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา
ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ
ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจ
และรู้ชะตากรรมของตนทันที มันร้องโหยหวนทันที สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจ
ที่เจ้าลาเงียบไป หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สัก
สองสามพลั่วก็เหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า
ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจากหลัง
แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายาม
เร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไรมันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น
ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจ ที่เจ้าลาสามารถหลุดพ้นจากปากบ่อได้


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า .....

ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาจงอย่าท้อถอยและยอมแพ้จงแก้ไขมัน เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อุปสรรค กับ ความพยายาม

ถ้าโลกนี้ไม่มีคำว่า “อุปสรรค” มนุษย์ก็จะไม่รู้จักอีกคำที่เรียกว่า “ความพยายาม”





  คงไม่มีใครไม่เคยประสบ “ปัญหา” ของชีวิต แต่การจัดการปัญหาของแต่ละคน ย่อมไม่เหมือนกัน บางคนยิ้มรับ บางคนลุกขึ้นสู้ และบางคนอาจมองเป็นอุปสรรคเล็กๆ ที่เข้ามาท้าทาย รอให้เราก้าวข้ามไปเท่านั้น
     
       แต่ถ้าใครสับสน หาทางออกของปัญหาไม่เจอ ในหนังสือ “Peaks & Valleys ยอดเขาแห่งความสุข หุบเขาแห่งอุปสรรค” ซึ่งเป็นผลงานเล่มล่าสุดของนักเขียนผู้โด่งดังระดับโลก นพ. สเปนเซอร์ จอห์นสัน หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจาก “ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who Moved My Cheese?)” ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนต่างวัย ต่างสาขาอาชีพจากทั่วทุกมุมโลก และขายได้ทั่วโลกกว่า 24 ล้านเล่ม ขอกลับมาสร้างแรงบันดาลใจในชีวิต ให้ก้าวผ่านปัญหาและอุปสรรคอีกครั้ง

     
       Peaks & Valleys เล่มนี้ เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาอย่างไม่ค่อยมีความสุขนัก จนกระทั่ง ได้พบกับชายชราผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่บนยอดเขา การพบกันครั้งนั้นได้เปลี่ยนแปลงการทำงานและชีวิตของเขาไปตลอดกาล
       
     
       ผู้เขียนใช้วิธีอุปมาอุปไมย “ชีวิตที่มีสุขและทุกข์” กับ “ลักษณะของยอดเขาและหุบเขา” เหมือนกับชีวิตคนเราที่มีทั้งช่วงดีและร้าย โดยเปรียบยอดเขากับชีวิตยามรุ่งโรจน์ที่สุด และเปรียบหุบเขากับชีวิตที่ตกต่ำ หดหู่ เศร้าหมอง หรือประสบปัญหา หนังสือจะคอยแนะแนวทางการใช้ชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยสร้างความสงบและการประสบความสำเร็จ
     
       การขึ้นสู่ยอดเขา หมายถึง การได้ในสิ่งที่ปรารถนา และ การออกจากหุบเขา คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ เพื่อให้สามารถก้าวขึ้นสู่ยอดเขาลูกใหม่ได้อีกหลายๆ ครั้ง นอกจากหนังสือจะสอนให้เราใช้ความพยายามเพื่อพิชิตเป้าหมาย รางวัล และความฝันให้สำเร็จ ยังแนะแนวทางการยืดหยัดอยู่บนยอดเขาให้นานกว่าเดิม ตลอดจนเรื่องราวอื่นๆ ที่แฝงด้วยแง่คิดอีกมากมาย

       
       เนื้อหาแฝงไว้ด้วยคุณค่าทางปรัชญาและคติสอนใจที่ลึกซึ้ง ให้ผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้กับทุกเรื่องราวและทุกสถานการณ์ของชีวิต ดังที่ผู้เขียนได้บอกกับเราผ่านหนังสือเล่มเล็กนี้ว่า ทุกชีวิตมีจังหวะขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือน “ยอดเขา” และจังหวะลง อันเปรียบได้กับ “หุบเขา” อยู่ที่ว่าเราจะจัดการให้ชีวิตสามารถยืนอยู่บนยอดเขาแห่งความสุขได้นานๆ และไม่ตกอยู่ในหุบเขาแห่งอุปสรรคนานจนเกินไปได้อย่างไร
       
     
       เชื่อได้เลยว่า เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ นอกจากจะได้รับพลังทางบวก เพื่อดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขแล้ว ยังจะได้เปลี่ยนวิธีคิดให้เผชิญหน้ากับอุปสรรค และยิ้มรับความสุขได้สมบูรณ์แบบที่สุดอีกด้วย
     
       หนังสือ Peaks & Valleys ยอดเขาแห่งความสุข หุบเขาแห่งอุปสรรค ฉบับภาษาไทย แปลโดย พิทยา สิทธิอำนวย วางจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

แหล่งที่มา http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9530000142715

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว Vital Star


น้ำมันรำข้าวจมูกข้าวสกัดจากธรรมชาติ ไร้สารเจือปน

  • ต้านมะเร็ง อัมพฤกษ์-อัมพาต
  • โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิต
  • มีบุตรยาก เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ มดลูกแข็งแรง-กระชับ
  • คอเลสเตอรอล เส้นเลือดตีบ
  • อัลไซเมอร์ ความจำเสื่อม
  • พาร์กินสัน ธาลัสซีเมีย
  • ฟื้นฟูสุขภาพ ชะลอความชรา
  • บำรุงสมอง บำรุงร่างกาย
  • ลดน้ำหนัก ได้ 10-15 กก. ภายใน 3 เดือน ทำให้คุณมีรูปร่างเพรียวสมส่วน
  • ลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด
  • ลดอาการปวดหลัง
  • ลดระดับ LDL คอเลสเตอรอล ซึ่งก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย
  • เพิ่มระดับ HDL คอเลสเตอรอล ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ความดันโลหิตลดลง และลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • บำรุงสมอง ป้องกันภาวะเสื่อมของสมองและความจำ
  • ช่วยให้ผิวหนังสดใส
  • ช่วยอาการผิดปกติของชาย, หญิง วัยเจริญพันธุ์ และวัยทอง
  • ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่าง ๆ และป้องกันการเกิดมะเร็ง
  • ลบเลือนริ้วรอยด่างดำ เหี่ยวย่น ฝ้า และ กระ
  • ลดภาวะท้องผูก ลดภาวะเสี่ยงต่อการเป็นริดสีดวงทวารและมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ช่วยให้นอนหลับสบาย

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวเป็นน้ำมันที่ได้จากกระบวนการพิเศษในการสกัดเอาสารสำคัญที่มีประโยชน์นานาชนิด ซึ่งมีอยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (Seed Membrane Layer) และจมูกข้าว (Rice Germ) จึงอุดมด้วยสารสำคัญทางธรรมชาติ และมีคุณค่าสูงต่อร่างกายหลายชนิด เช่น

• กลุ่มสารฟอสโฟไลฟิด (Phospholipids) เช่น เลซิติน (Lecithin) เซฟฟาลิน (Cephalin) ไลโซเลซิติน (Lysolecithin) ซึ่งมีความสำคัญในการนำไปสร้าง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง และช่วยป้องกันเซลล์ประสาท จากสารที่เป็นพิษและอนุมูลอิสระต่างๆ ช่วยลดความเครียด และช่วยเสริมสร้างในด้านความจำ

• กลุ่มเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของชั้นใต้ผิวหนัง ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น การเสริมสร้างเซราไมด์ให้เพียงพอ ทั้งโดยการรับประทานหรือการให้ทางผิวหนังในรูปการทาครีม หรือโลชัน จะช่วยรักษาผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่ง ปราศจากริ้วรอยย่นก่อนเวลาอันควร นอกจากนี้เซราไมด์ยังมีคุณสมบัติเป็นไวท์เทนเนอร์ (Whitener) ซึ่งสามารถยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน อันเป็นสาเหตุให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำบนผิวพรรณได้ดี และยังเป็นมอยเจอไรเซอร์ (Moisturizer) ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวอีกด้วย

• กลุ่มคอลโทคอล (Tocols) วิตามินอีธรรมชาติ ในรูปของโทโคเฟอรอล(Tocopherol) และโทโคไทรอีนอล (Tocotrienol) มีประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้าง และซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ของร่างกายและยังช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่างๆช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง

• กลุ่มกรดไขมันไลโนเลอิค (Linoleic Acid) หรือโอเมก้า 6 และกรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) หรือโอเมก้า 3 ที่เป็นกรดไขมันจำเป็น โดยมีอยู่ประมาณ33%

• กลุ่มวิตามิน B - Complex ซึ่งช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น

• กลุ่มแกมมา - ออไรซานอล มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ทำให้ลดการตีบตันของหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และยังมีฤทธิ์ในการลดความเครียด และรักษาอาการผิดปกติของสตรีวัยทอง นอกจากนี้ยังเป็นสารอนุมูลอิสระ และยังป้องกันแสงยูวีได้ เมื่อใช้กินหรือใช้ทา ทำให้ผิวหนังชุ่มชื่นและต้านการอักเสบ สารชนิดนี้มีความปลอดภัยสูงมากมหัศจรรย์จากธรรมชาติ น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวจากผลการศึกษาวิจัยและการประกาศรับรองจากสถาบันต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ในผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว เป็นสินค้าเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริงเลยนะคะ เหมาะสำหรับเป็นของขวัญในโอกาสต่างๆให้แก่ผู้ที่เรารัก เช่น คุณพ่อ, คุณแม่ หรือแม้แต่ตัวเราเองค่ะ เพราะเป็นน้ำมันที่อุดมด้วยประโยชน์มากมาย ประกอบไปด้วยสารอาหารสำคัญที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ ดังนี้

1.สาร Gamma Oryzanol ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต โดยลดปริมาณคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในตับและเลือดเป็นผลให้ความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดลดลง รวมทั้งช่วยลดการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง หัวใจ ไต และต่อมลูกหมาก มีผลป้องกันไม่ให้อ้วนขึ้น

2. กลุ่มโทคอล ซึ่งอยู่ในรูปของ โทโคเฟอรอล และโทโคไทรนีนอล ซึ่งอยู่ในวิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ต่างๆของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น เช่น เซลล์ผิว เซลล์เม็ดเลือดและเซลล์สมองในร่างกายมนุษย์ให้แข็งแรงขึ้นและชลอความชราก่อนวัย โดยเป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกัน

3.Phospholipid กรุ๊ป ซึ่งประกอบด้วยสารเลซิติน Lyssolecithin Cephalin ซึ่งช่วยซ่อมแซมเซลล์ต่างๆของประสาทและระบบสมองให้มีความจำดีขึ้น

4.Essential Fatty Acid ซึ่งประกอบด้วยโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยฟื้นฟูเซลลืสมองได้ดีขึ้น ส่วนโอเมก้า 3 เป็นสารสำคัญที่ฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังให้แข็งแรงขึ้น โดยไปช่วยสร้างคอลลาเจนที่ผิวหนังให้ผิวหนังแข็งแรงและสวยงามเปล่งปลั่งขึ้นโดยธรรมชาติ

5. Ceramide (เซราไมด์) จะทำให้ผิวพรรณสวยงามเปล่งปลั่งเช่นกัน ซึ่งปกติจะพบมากในเด็กและจะเห็นว่าผิวพรรณดี อย่างไรก็ตามเมื่อโตขึ้นสารนี้จะเริ่มน้อยลง แต่จะมีมากในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวมาทดแทน

6.อยู่ในรูปแบบวิตามิน B-Complex ซึ่งประกอบด้วยสารเมลาโทนิน ที่ช่วยในการนอนหลับได้เป็นอย่างดี และแคลเซียมก็ช่วยซ่อมแซมเซลลืที่สำคัญๆได้อย่างดี เช่น เซลล์ของเส้นผมและเล็บ ให้แข็งแรงและงอกงามขึ้นด้วยเช่นกัน

ซึ่งสารสำคัญที่มีอยู่มากมายนั้นจะถูกทำลายโดยกรรมวิธีในการสกัดน้ำมันค่ะ อย่างเช่น ในน้ำมันรำข้าวแบบขวดสำหรับปรุงอาหาร ซึ่งเป็นน้ำมันรำข้าวผ่านกรรมวิธี และยิ่งต้องผ่านความร้อนจากการปรุงอาหารด้วยแล้ว สารอาหารก็จะยิ่งลดลงมากค่ะดังนั้นหากจะคงคุณค่าต่างๆเหล่านี้ไว้ต้องเป็นน้ำมันที่สกัดด้วยวิธีการพิเศษ จึงทำให้สารที่มีความสำคัญต่างๆยังอยู่ และนอกจากนี้ สารสำคัญหลายตัวนั้น ยังเป็นสารที่พบได้ใน "ข้าวไทยเท่านั้น" อีกด้วยค่ะน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดย รศ.ดร. สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณะบดีคณะแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และ 1 ใน 12 ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรของสหประชาชาติ ผู้วิจัยน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวจนโด่งดังขายดีมากใน U.S.A. และยุโรป

โดยสรุปน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวดูแลสุขภาพ 4 เรื่อง ดังนี้

1. เรื่องเกี่ยวกับสมอง

ช่วยลดอาการเครียด ปวดหัว ไมเกรน นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม เสริมสร้างเซลล์สอง โดยรับประทานวันละ 4 แคปซูล (เช้า 2 แคปซูล,เย็น 2 แคปซูล) หลังอาหาร ภายใน 1-2 วันจะเห็นผลชัดเจนในเรื่องของความเครียด นอนไม่หลับ*หากใครทาน 4 แคปซูลต่อวันแล้วมีอาการมืนงง ให้ลดเหลือ 2 แคปซูล เนื่องจากคนๆนั้นตอบสนองต่อน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวดีมากจนเส้นเลือดในสมองขยายตัวมากเกินไป จนเลือดไปเลี้ยงสมองมากเกินไป (แต่จำนวนน้อยมากๆที่มีอาการเช่นนี้)

2. โรคเสื่อม เช่น

ไขมันในเส้นเลือด ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ เก๊า อัมพฤต มือเท้าชา อาการวัยทอง ให้ทานวันละ 4 แคปซูล (เช้า 2 แคปซูล, เย็น 2 แคปซูล) หลังอาหารใน 7 วันแรก หากยังไม่เห็นผล ให้เพิ่มเป็น 6 แคปซูลต่อวัน (เช้า,กลางวัน,เย็น)

โรคมะเร็งขั้นที่ 1-2 รับประทานเป็น 9 แคปซูลในสัปดาห์ที่ 2

3. โรคอักเสบ เกี่ยวกับข้ออักเสบ ผิวหนังอักเสบ อื่นๆ รับประทานวันละ 4 แคปซูล (เช้า 2 แคปซูล, เย็น 2 แคปซูล) หลังอาหารใน 7 วันแรก หากยังไม่เห็นผล ให้เพิ่มเป็น 6 แคปซูลต่อวัน (เช้า,กลางวัน,เย็น)

4. การต้านอนุมูลอิสระ จะมีความสามารถต้านอนุมูลอิสระดีกว่าพวกน้ำมันตับปลาถึง 60 เท่า ทำให้อาการที่เกิดจากอนุมูลอิสระไปทำลายจนโรคเสื่อมเกิดน้อยลง เช่น หากอนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์ตับอ่อน ทำให้การสร้างอินซูลินบกพร่อง จึงเกิดเบาหวาน หากไปทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดรอยแผลที่ผิวหลอดเลือด ทำให้ไขมันไปเกาะง่าย จึงเกิดไขมันอุดตัน

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อย่าเสียดาย 4 ปีที่เรียนมา อย่าเสียดาย 10 ปีที่ทำงานมา


อย่าเสียดาย 4 ปีที่เรียนมา อย่าเสียดาย 10 ปีที่ทำงานมา

เราอย่าเสียดาย 4 ปีที่เรียนมา อย่าเสียดาย 10 ปีที่ทำงานมา 

หลายๆ คนเสียดายเวลา 4 ปีที่เรียนมา เลยเสียเวลาทั้งชีวิต


หลายๆ คนเสียดาย 10 ปีที่ทำงานมา เลยเสียเวลาทั้งชีวิต 


เพราะโลกมันเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนตามโลก 


อย่ารอให้โลกเปลี่ยนตามเรา เพราะมันเป็นไปไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ธนาคารกรุงเทพร่วมกับ Google เปิดตัวบริการรับชำระค่าโฆษณาบน Google

วิธีชำระค่าโฆษณากูเกิ้ลแอดเวิร์ดส (Google AdWords) ที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น


ธนาคาร กรุงเทพร่วมกับGoogleเปิดตัวบริการรับชำระค่าโฆษณาบนเว็บไซต์Google (กูเกิ้ล แอดเวิร์ดส) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ท่านที่ใช้บริการให้สามารถชำระเงินผ่านธนาคารทาง อินเทอร์เน็ตได้ง่าย ๆ พร้อมทั้งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย


กู เกิ้ล แอดเวิร์ดส (Google AdWords) คือ การลงโฆษณาในเว็บไซต์Googleโดยเจ้าของธุรกิจที่ต้องการโฆษณาสินค้าหรือ บริการสามารถกำหนดคำค้นหาที่สื่อถึงธุรกิจของท่าน และเป็นคำค้นหาที่คาดว่ากลุ่มเป้าหมายจะนึกถึง และเลือกใช้ในการค้นหาสินค้าหรือบริการที่ต้องการ ทั้งนี้ โฆษณาของท่านจะปรากฏที่ด้านขวามือของผลการค้นหาบนเว็บไซต์Googleและเว็บไซต์ เครือข่ายดังนั้น การโฆษณาจึงสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในวงกว้าง


ใน การเพิ่มรายชื่อGoogleแอดเวิร์ดส์เข้าไปในบัญชีรายชื่อผู้รับชำระในบริการ บัวหลวง ไอแบงก์กิ้งของท่านนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเลือกทำรายการ ‘เพิ่มบัญชีผู้รับชำระ’ จากเมนู ‘ชำระเงิน’ จากนั้น เลือก ‘GOOGLETH’ ที่อยู่ภายใต้หัวข้อรายการ ‘สินค้าและบริการ’ จากนั้น ท่านจะต้องใส่ข้อมูลการชำระเงินและทำตามคำแนะนำบนหน้าจอจนจบขั้นตอน


ท่าน สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการรับชำระเงินค่าโฆษณาบนเว็บไซต์ Googleได้ที่ www.bangkokbank.com/ibanking or adwords.google.co.th หรือติดต่อบัวหลวงโฟน 1333 หรือ 0-2645-5555 (กด 1-0-6).

อาหารเช้า...ใครว่าไม่สำคัญ


     มีโอกาสได้ดูรายการจุดเปลี่ยน ซึ่งนำเสนอเรื่อง มหัศจรรย์อาหารเช้า เลยทำให้รู้ตัวว่ากินอาหารเช้าผิดหลักโภชนาการไปมาก
     โดยปกติคนทั่วไปมักคิดว่าอาหารเช้าไม่สำคัญ จึงมักที่จะไม่กินอาหารเช้า มีเหตุผลหลายประการก็คือ การที่ไม่มีเวลาเนื่องจากต้องเร่งรีบไปเรียนหรือทำงาน ไม่เห็นความสำคัญของอาหารเช้า ต้องการที่จะลดน้ำหนัก หรือบางคนอาจจะกินแต่กินผิดหลักโภชนาการ เช่น ตัวคนที่เขียนบันทึกเอง มักจะดื่มนม กับขนมปัง 1 แผ่น หรือ กินข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง (ก็มันอร่อยนี่น่า...) ประเภทกินตามใจปาก เลยทำให้กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่  แต่ทางรายการจุดเปลี่ยนก็มีนำนักโภชนาการ มาไขข้อข้องใจว่า อาหารแบบได้ไหนเหมาะสมที่จะกินเป็นอาหารเช้า ซึ่งไม่คิดเลยว่า "ก๋วยเตี๋ยว" จะเป็นอาหารเช้าที่ดีและครบ 5 หมู่ (ของชอบเราเลย สงสัยต่อไป เช้า-เที่ยง-เย็น โซ้ยแต่ก๋วยเตี๋ยวแน่เรา) หรือถ้าจะดื่มนมกับขนมปัง ก็ยังพอได้อยู่ เพียงแต่ต้องเพิ่มผลไม้ไปในมื้อเช้าด้วย เช่น มะละกอ กล้วยน้ำว้า

     ก็เลยได้ข้อสรุปว่า การกินอาหารเช้าที่ถูกหลักโภชนาการ  จะต้องกินให้ครบอาหารหลัก 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอ (ไม่ถึงกับต้องเต็มอัตราศึกเหมือนมื้อกลางวัน-เย็นก็ได้) เพียงแค่อาหารที่ง่ายๆ แต่ครบ 5 หมู่ จะช่วยบำรุงสมองและร่างกายให้มีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น

    เพื่อสุขภาพที่ดีขอให้ทุกท่านเอาใจใส่กับมื้อเช้าด้วยนะคะ

ท้องผูกไม่ใช่เรื่องเล็กๆ


     ท้องผูก เป็นอาการที่มักจะเกิดกับผู้เขียนบันทึกเป็นประจำ ทั้งที่ตัวเองก็รับประทานผักมากพอสมควร แต่ทำไมถึงยังมีอาการนี้อยู่ ก็เลยมานั่งคิดถึงสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร ก็เลยนึกได้ว่า ทานแต่ผักก็มากโขแล้ว แต่ไม่ค่อยจะได้ดื่มน้ำ เพราะว่าเวลาทำงานมักจะไม่ค่อยชอบลุกเดินไปหาน้ำดื่ม ประมาณว่า งานกำลังติดพัน ไอเดียกำลังบรรเจิด ไม่อยากจะให้กระบวนการคิดขาดตอน และเหตุผลอะไรอีกร้อยแปดพันเก้า
     ตอนนี้ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการหาขวดน้ำขนาดเกือบ 2 ลิตร พร้อมแก้วน้ำ 1 ใบ มาตั้งไว้ที่โต๊ะทำงาน แล้วตั้งใจไว้ว่าจะต้องดื่มให้หมดทุกวันตอนนี้ทำมาได้เกือบ 3เดือนแล้ว นอกจากช่วยแก้ไขเรื่องอาการท้องผูกแล้วยังทำให้เรามีสุขภาพดี ผิวพรรณสดใสอีกด้วยนะคะ
     ด้วยความอยากรู้ว่านอกจากการไม่ชอบดื่มน้ำในแต่ละวันให้มากพอแล้วยังมีสาเหตุอะไรอีกบ้าง เลยถามพี่ google ก็เลยข้อมูลเกี่ยวกับโรคท้องผูกหรืออาการท้องผูกมาฝากคะ

ท้องผูก

ท้องผูกเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป มักเกิดจากการกินอาหารที่มีกากใยน้อย และขาดการออกกำลังกาย ถ้ามีอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจบ่งชี้ว่าจะมีปัญหารุนแรงเกี่ยวกับสุขภาพในระยะยาวได้ ถ้าลำไส้ใหญ่ทำงานเป็นปกติ จะช่วยให้ขับถ่ายดี และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้

มักเข้าใจผิดกันว่าคนเราควรถ่ายทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ถ่ายถือว่าท้องผูก แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องถ่ายทุกวัน บางคนอาจถ่ายวันละมากกว่า 1 ครั้ง หรือบางคนอาจถ่าย 3 วันครั้งก็ยังถือว่าลำไส้ทำงานปกติ

ท้องผูกมีลักษณะอาการ 2 แบบ คือ ท้องผูกแบบอ่อนแรง จะทำให้ลำไส้ไม่มีแรงบีบตัว เกิดจากการกินอาหารที่มีกากใยน้อย และดื่มน้ำน้อยหรืออาจเกิดจากการออกกำลังกายไม่เพียงพอ ส่วนท้องผูกแบบหดเกร็ง ลำไส้ใหญ่จะบีบตัวไม่สม่ำเสมอ ทำให้ขับถ่ายผิดปกติ อาจเกิดจากปัญหาทางด้านจิตใจ หรือระบบประสาท สูบบุหรี่จัด หรือกินอาหารที่ทำให้ลำไส้ใหญ่ระคายเคือง หรืออุดตัน

การกินอาหารที่ทำจากแป้งขัดขาว หรือมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต และธัญพืช) ต่ำ และมีผักผลไม้น้อยจะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารไม่เพียงพอ

ใยอาหารและอาหารจำพวกแป้งบางอย่างจะถูกย่อยสลายกลายเป็นกากในลำไส้ใหญ่ กากนี้จะช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ขับอาหารที่ย่อยแล้วออกไปจากทางเดินอาหาร เครื่องดื่ม เช่น กาแฟ หรือผลไม้แห้ง เช่น ลูกพรุน จะมีสารประกอบบางอย่างที่ช่วยในการขับถ่ายได้

ถ้ากินอาหารที่มีกากในน้อยและดื่มน้ำน้อย สารอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่จะมีลักษณะแห้งแข็ง เนื่องจากน้ำในกากอาหารจะถูกดูดออกไป ทำให้ขับออกลำบาก ความดันภายในลำไส้ก็เพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง ยิ่งมีกากอาหารค้างอยู่ในลำไส้นานเท่าไร กากอาหารนั้นจะยิ่งแข็ง เพราะน้ำถูกดูดออกไปจนหมด ทำให้ขับถ่ายลำบากยิ่งขึ้น

การออกกำลังกายอยู่เสมอจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ การทำกิจกรรมที่ต้องนั่งนาน ๆ อาจทำให้ท้องผูกได้ ท้องผูกยังเกิดจากการกลั้นอุจจาระจนติดเป็นนิสัย การใช้ยาระบายเป็นประจำ หรือติดต่อกันนาน ๆ อาจมีผลทำให้ลำไส้ใหญ่ทำงานผิดปกติ ดังนั้นควรใช้ยาระบายเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น

สูตรอาหารแก้ท้องผูก

คนที่ท้องผูกง่าย มักพบว่ากินอาหารที่มีกากในน้อย เช่น อาหารจำพวกแป้งขัดขาว และไม่ค่อยได้กินผักหรือผลไม้สด ใยอาหารนั้นมี 2 ชนิด คือชนิดที่ละลายในน้ำ จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาล และโคเลสเตอรอลในเลือด และชนิดที่ไม่ละลายในน้ำจะช่วยป้องกันท้องผูกโดยเป็นตัวเพิ่มกากอาหารในลำไส้

วิธีป้องกันท้องผูกที่ดีที่สุดเราควรกินอาหารที่มีใยทั้ง 2 ชนิดนี้ตามธรรมชาติให้มาก และหลากหลาย สำหรับผู้เริ่มต้น ก่อนอื่นให้พยายามดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร (8-10 แก้ว) และหันมากินข้าวที่ขัดสีน้อยอย่างข้างกล้องแทนข้าวขัดขาว แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้องให้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะคุ้นกับการกินข้าวกล้องอย่างเดียว

ในตอนแรก ๆ อาจรู้สึกไม่สบายท้อง มีลมในท้องหรือท้องอืดมาก ส่วนขนมปังก็เลือกชนิดที่ทำจากแป้งไม่ขัดสีหรือขนมปังโฮลวีตแทนขนมปังขาว หรืออาจกินสลับกันไปมา

นอกจากนี้ยังอาจเติมรำข้าวสำเร็จรูป 2 ช้อนชาลงในโยเกิร์ต มูสลี่ หรือธัญพืชพร้อมบริโภค สำหรับเป็นอาหารมื้อเช้าทุกวันติดต่อกัน 1 สัปดาห์ แล้วเพิ่มรำข้าวเป็น 3 ช้อนชาในสัปดาห์ต่อมา ทั้งนี้ควรกินผลไม้สดให้ได้วันละ 4-5 ส่วน (ผลไม้ 1 ส่วน เช่น กล้วยน้ำว้า 1 ลูก หรือมะละกอ 10 คำ) และผักต่าง ๆ อีกประมาณ 4-6 ทัพพี

อย่างไรก็ตามคนแต่ละคนอาจต้องการใยอาหารในปริมาณที่ไม่เท่ากัน พยายามสังเกตว่าร่างกายขงตนเองต้องการใยอาหารมากเท่าไรจึงจะเพียงพอกับความต้องการ ไม่ควรพึ่งใยอาหารจากรำข้าวสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมสารอาหารบางอย่างในระยะยาวได้ ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ายังคงมีอาการท้องผูกเร้อรังหรือปวดท้องแบบเป็น ๆ หาย ๆ

พึงบริโภคให้มาก
ผลไม้ที่กินได้ทั้งเปลือก เช่น ฝรั่ง รวมทั้งผักใบเขียว ธัญพืช ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เพื่อให้ได้ใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายในน้ำ
ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร

พึงลดอาหารที่ทำจากแป้งขัดขาว


ที่มา : ข้อมูลจากหนังสือรู้คุณรู้โทษโภชนการการ รีดเดอร์ส ไดเจสท์